Market

InnovestX  SET  ฟื้นตัวต่อ คาดหวังการกลับมาของ LTF
17 ก.พ. 2568

แนวโน้มตลาดวันนี้ (17 ก.พ.) บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET สัญญาณยังเป็นลบ และตลาดยังขาดปัจจัยหนุน ขณะที่ปัจจัยลบมีแต่เข้ามาเพิ่ม ล่าสุดได้รับ Sentiment ลบ จาก AOT ในประเด็นการขอเลื่อนชำระเงินจาก King Power และ DELTA ประกาศกำไรใน Q4/67 ต่ำกว่าคาดมาก โดย SET มีแนวรับถัดไปที่ 1260 และ 1250 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1280-1290 จุด

 

ประเด็นสำคัญ

• ตลท. เตรียมเสนอคลังเว้นภาษีกำไร บจ. อีกทั้งเปิดโครงการ Jump+ คาดเปิดใช้เดือน พ.ค. นี้ หวังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ดูดนักลงทุนสนหุ้น เบื้องต้นคาด บจ. เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ขณะทบทวนมาตรการและปรับเกณฑ์ซื้อหุ้นคืนเพื่อหนุน บจ. เพิ่มสภาพคล่อง

 

• WorldBank คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.9% เร่งตัวขึ้นจากปี 2567 ที่ 2.6% หนุนจากอุปสงค์ในประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและการบริโภคยังเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อน

 

• รมว. พลังงาน เผยการลดค่าไฟลง 17 สต./หน่วยตามข้อเสนอของ กกพ. ต้องยกเลิกสัญญา Adder จากผู้ผลิตไฟฟ้า SPP และ VSPP ซึ่งมีประเด็นที่ทำไม่ได้เพราะเป็นสัญญาชั่วนิรันดร์ ต่ออายุทุก 5 ปี ตอนนี้จึงศึกษาวิธีการในการแก้ไขสัญญาและบริหารจัดการเชื้อเพลิง

 

• ททท. เผยใน ก.พ. 2568 คาดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทย 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5%YoY และฟื้นตัวกว่า 97% ของเทียบกับปี 2562 ทำให้มีนักท่องเที่ยวสะสมช่วง 2M68 6.99 ล้านคน

 

• วันนี้ติดตามการรายงานการเติบโตเศรษฐกิจไทย 4Q67 โดยสภาพัฒน์ ในวันนี้ โดยตลาดคาดว่าจะเติบโต 3.9%YoY และ 0.7%QoQ

 

• เมื่อวันศุกร์ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เผยแผนเรียกเก็บภาษีจากรถยนต์นำเข้าในวันที่ 2 เม.ย. อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น, เยอรมนี และเกาหลีใต้

 

• Bloomberg รายงานว่า TSMC กำลังพิจารณาเข้าถือหุ้นควบคุมในโรงงานต่าง ๆ ของ Intel Corp ตามคำร้องขอของจนท. รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปและรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

 

กลยุทธ์การลงทุน

 ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด มีแนวต้านที่บริเวณ 1320 จุด ปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นติดตามอย่างรายงานการะประชุมของ FOMC ซึ่งคาดจะเป็นลบต่อบรรยากาศลงทุน หลังประธานเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ที่คาดจะออกมาไม่ดีนัก หลังจาก ปธน. สหรัฐฯ ยังมีท่าทีดำเนินสงครามการค้าต่อทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในหลายส่วน ส่วนปัจจัยในประเทศมีประเด็นติดตามอย่างการประกาศงบ 4Q67 ของบจ. Real Sector ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย ส่วน GDP 4Q67 ของไทยที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่องและเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน และ 1Q68 คาดจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังเร็วเกินไปที่จะมีการปรับ GDP ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

 

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

มอง SET มีโอกาสฟื้นตัว แต่ Upside จำกัดหลังไร้ปัจจัยใหม่ กลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

 

1. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC 

 

2. หุ้น Event Play ที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐอย่าง Easy E-Receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ขณะที่ผลประกอบการ 4Q67 คาดจะเติบโตดี แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW) 

 

3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน จาก SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและ Downside Risk จำกัด เนื่องจาก 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน 3) Valuation ไม่แพง PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ได้แก่ BCP AP PTT TU SPALI

 

4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์หน้าจะประกาศงบ 4Q67 กำไรเติบโต YoY และ QoQ ซึ่งคาดกำไรจะดีกว่าตลาดคาด แนะนำ CPAXT MTC TRUE CBG และ 2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์หลัง MSCI Rebalance ซึ่งจะมีผล 28 ก.พ. 2568 แนะนำ หุ้นที่จะเข้า Global Small Cap อย่าง GPSC SCGP ขณะที่ระมัดระวัง PTTGC TOP ที่ออกจาก Global standard แม้จะเข้า Global Small Cap 

  

 Daily top picks

ADVANC: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง 1Q68 คาดกำไรยังเติบโตแข็งแกร่งทั้ง YoY และ QoQ หนุนให้ปี 2568 คาดมีกำไร 38.5 พันลบ. เติบโต 10.5%YoY อีกทั้งมองมีโอกาสเพิ่มกำไรจากการประมูลใบอนุญาตที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้มีเงินปันผลจ่ายจากกำไร 2H67 ที่ 5.74 บาท/หุ้น (XD 20 ก.พ.) คิดเป็น Div. Yield 2%

 

CPAXT: 4Q67 คาดกำไรจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และ QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ปี 2567 คาดกำไรเติบโต 24.6%YoY และจะเติบโตต่อดีที่สุดในกลุ่ม 19%YoY ในปี 2568 (เทียบกับกลุ่มเติบโตเฉลี่ย 15%YoY) ทั้งนี้หลังควบรวมกิจการคาด Synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในปี 2568-70

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com