แนวโน้มตลาดวันนี้ (25 ก.พ.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ลงมาโซนแนวรับบริเวณ 1230 และ 1220 จุด ตามลำดับ ซึ่งใช้เป็นจุดติดตาม สำหรับโอกาสการฟื้นตัวตามสัญญาณเทคนิค ส่วนกรอบบนมีจุดติดตามที่แนวต้าน 1247 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณบวกต่อภาพการฟื้นตัว โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1260 จุด ประเด็นสำคัญที่มีอิทธิพลต่อ SET อยู่ที่วันพรุ่งนี้ สำหรับการประชุมกนง.
ประเด็นสำคัญ
• รมว. คลังเผยความคืบหน้ามาตรการสนับสนุนตลาดทุนว่าใน มี.ค. จะมีการออกกองทุนเพื่อรองรับการย้ายของเม็ดเงินจาก LTF สู่ ThaiESG โดยระหว่างกระบวนการได้มีการหารือกับ FETCO ตลอดเวลา
• รมว. คลังหวัง กนง. ลดดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แจงข้อดีช่วยบาทอ่อนค่า หนุนส่งออก พร้อมขออ่อนเกณฑ์ LTV ยืดหยุ่นปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เล็งเพิ่มมาตรการแก้หนี้ ช่วยปรับโครงสร้างได้ดีขึ้น
• ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์ ม.ค. 107,103 คัน ลดลง 24.63%YoY ส่วนยอดขายในประเทศลดลง 12.26% จากความเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ และส่งออกเหลือ 6.2 หมื่นคัน ต่ำสุดรอบ 33 เดือน จากกังวลมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และรถยนต์ไฟฟ้าจีนส่งออกแข่งขันมากขึ้น
• ส.อ.ท. เผยอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2568 ยังเป็นอีกปีที่น่าห่วง สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ขอรัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะเร็วขึ้นจาก 4 เป็น 2 เดือน
• กบข. เปิดเป้าหมายปี 2568 สร้างผลตอบแทน 6%มากกว่าปีก่อนที่ 4.12% ดัน AUM สิ้นปี 2569 แตะ 1.6 ล้านลบ. ลดน้ำหนักตราสารหนี้ เพิ่มสัดส่วนหุ้นโลก-เกิดใหม่และหุ้นไทย และสินทรัพย์ทางเลือก
• กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ มุ่งที่อุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโบรกเกอร์ค้าน้ำมัน เรือบรรทุกน้ำมัน และผู้ขนส่งที่ขายและขนส่งปิโตรเลียมของอิหร่าน
• Microsoft ยกเลิกสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ อาจชี้สหรัฐฯ มีโครงสร้างพื้นฐาน AI มากเกินความต้องการ ส่วนแผนลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ยังคงอยู่ แต่อาจปรับมีการปรับเปลี่ยนบ้าง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด โดยมีแนวต้านที่บริเวณ 1300 จุด ประเมินว่าปัจจัยมหภาคจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยเป็นผลจากดัชนี PCE มีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือ 2.5% ซึ่งจะไม่กดดันให้เฟดเปลี่ยนท่าทีต่อนโยบายการเงิน และ PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่ ธปท. ยังคงมุมมองที่จะคงดอกเบี้ยที่ 2.25% ซึ่งตลาดรับรู้และสะท้อนในราคาแล้วระดับหนึ่ง นอกจากนั้นแนวโน้มผลประกอบการ 1Q68 น่าจะบ่งชี้ว่ากำไรของตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วในช่วง 2H67 ทำให้เรามองว่า กระแสเงินจากต่างชาติมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น รวมไปถึงมาตรการของ ตลท. ต่อการสร้างความเชื่อมั่นน่าจะช่วยให้ตลาดคลายความกังวลในระดับนึง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
CPALL: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งกำไรยังเติบโตได้ต่อเนื่อง 4Q67 คาดกำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้น ศก. เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ
BDMS: มองเป็นหุ้นปลอดภัยภายใต้ตลาดที่ผันผวนสูงและกำไรยังมีโมเมนตัมเติบโตต่อเนื่อง 4Q67 คาดกำไรปกติเติบโต YoY หนุนจากความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 1.62 หมื่นลบ. เติบโต 12.6%YoY อีกทั้ง Valuation ไม่แพง ปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2567F และ 2568F ที่ 23.6 เท่า และ 21 เท่า ต่ำกว่า -2SD