SCGD พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 20 ธ.ค.นี้ ขึ้นแท่นการเสนอขายหุ้น IPO ขนาดใหญ่ที่สุดในปีนี้ มีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market cap) ณ ราคา IPO ที่18,975 ล้านบาท พร้อมเปิดวางกลยุทธ์ขยายตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในอาเซียนรับเศรษฐกิจและประชากรเติบโต
บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ ขึ้นแท่นหุ้น IPO ขนาดใหญ่ที่สุดในปีนี้ โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market cap) ณ ราคา IPO ที่ 18,975 ล้านบาทหลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทุกกลุ่มในการเสนอขายหุ้น IPO และผู้ถือหุ้น COTTO ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นจากบริษัทฯ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจและการเติบโต วางกลยุทธ์ขยายตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในอาเซียน รวมถึงวางแผนลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโต
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจีเดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ในหมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยใช้ตัวย่อ “SCGD” ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังจากที่นักลงทุนทุกกลุ่มให้การตอบรับอย่างดีในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นของ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ที่ราคาหุ้นละ 2.40 บาท ด้วยวิธีแลกหุ้นกับหุ้นIPO ของ SCGD เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจให้ SCGD เป็นบริษัทแกนหลักของเอสซีจีในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมถึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแทน COTTO โดยมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCGD รวมจำนวนทั้งสิ้น439,100,000 หุ้น ที่ราคา 11.50 บาทต่อหุ้น
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตจากการเป็น“ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน” และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยวางแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีโอกาสเพิ่มยอดขายได้อีกมาก จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจใน 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีประชากรรวมกันถึง 560 ล้านคน เนื่องจากการขยายตัวของเมือง รายได้ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ ต้องการสินค้ากลุ่มพรีเมียม, สะดวกสบาย และมีฟังก์ชันที่ตอบสนองต่อความต้องการในการใช้งานต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีสินค้ารักษ์โลกและ ECO Collection ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น สุขภัณฑ์ และก๊อกประหยัดน้ำ เป็นต้น และต้องการสินค้ากลุ่ม Smart Products อาทิ สุขภัณฑ์อัจฉริยะ, ก๊อกน้ำไร้สัมผัส ฯลฯ บริษัทฯ จึงวางกลยุทธ์การเติบโตเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่
1) ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน โดยอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงงานสุขภัณฑ์แหล่งใหม่ โดยให้ “COTTO” เป็นแบรนด์เรือธงในตลาดอาเซียน 2) ต่อยอดความแข็งแกร่งธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในไทยสู่อาเซียน ด้วยการเพิ่มยอดขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ศึกษาแผนลงทุนโรงงานแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนามขยายสู่ตลาดกระเบื้องไวนิล SPC ที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเดินหน้าลงทุนสายการผลิตที่โรงงานหินกอง สระบุรี นอกจากนี้ได้เริ่มเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ ในเวียดนามเพื่อผลิตกระเบื้องเซมิ-เกลซ พอร์ซเลน และกระเบื้องขนาดใหญ่ รวมทั้งเตรียมลงทุนขยายกำลังการผลิตอย่างค่อเนื่องในประเทศเวียดนาม 3) ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องเพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านบริการแบบครบวงจรในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ โดยจะขยายพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่เกี่ยวเนื่องและขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับผู้นำตลาดในประเทศต่างๆ ของอาเซียน 4) บริหารจัดการด้านการผลิตและจัดหาสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อเพิ่มความสามารถสร้างรายได้และกำไร โดยใช้ศักยภาพของโรงงานแต่ละประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนการผลิตทุกด้าน และขยายฐานการจัดหาสินค้า และ 5) เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลกแลกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า SCG Green Choice เป็น 80% ภายในปี 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระหว่างปี 2566 – 2571 เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจ ทั้งการลงทุนในโครงการลดต้นทุนด้านพลังงาน และปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในโรงงาน, โครงการใช้ชีวมวลเพื่อผลิตลมร้อนในกระบวนการผลิตผงดิน เป็นต้น และการลงทุนสายการผลิตใหม่และขยายร้านค้า เช่น การลงทุนโรงงานกระเบื้องไวนิล SPC ที่สระบุรี, เพิ่มร้านค้า COTTO LiFE, คลังเซรามิก ในไทย ร้าน CTM ในฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 มีรายได้จากการขาย 30,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 1,320.1 ล้านบาท ลดลง 5.8% จากปีก่อน(หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 21,522 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 760 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) ชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในเวียดนามมีรายได้ลดลงจากผลกระทบของวิกฤติในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถเพิ่มราคาขายและปริมาณการขายเฉลี่ยของกระเบื้องและสุขภัณฑ์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 7,186 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท (หลังปรับปรุงรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ) เพิ่มขึ้น 1.1% และ 22.9% จากไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ สะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้า รวมราคาก๊าซธรรมชาติที่ทยอยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทฯ
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด(มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ SCGD นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในปีนี้ และมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market cap) ณ ราคา IPO ที่ 18,975 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCGD ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนทุกกลุ่ม และผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างและยกระดับเป็นผู้ถือหุ้นใน SCGD ที่มีศักยภาพเติบโตในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์การเติบโตจากการขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์พื้นผิวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะ 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนามฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีศักยภาพสูง