แนวโน้มตลาดวันนี้ (3 มี.ค.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ คาดแรงขายชะลอลงหลังผ่านช่วงประกาศงบฯ และการปรับพอร์ตกองทุน แต่การฟื้นยังจำกัด กดดันจากการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจล่าช้าออกไปหลังการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับยูเครนล้มเหลว รวมทั้งมาตรการขึ้นภาษีแคนาดาและเม็กซิโกของสหรัฐฯ จะมีผลในวันพรุ่งนี้ ประเมินแนวรับที่ 1195 - 1185 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1215 - 1220 จุด
ประเด็นสำคัญ
• การหารือระหว่างปธน. สหรัฐฯ และยูเครนเป็นดำเนินไปอย่างตึงเครียด ปธน. ทรัมป์ขู่จะยกเลิกการสนับสนุนแก่ยูเครนและไม่มีลงนามข้อตกลงแร่ธาตุหายาก ด้าน EU และ UK คงเดินหน้าสนับสนุนแก่ยูเครนต่อ
• จีนเผยดัชนี PMI ภาคการผลิต ก.พ อยู่ที่ 50.2 สูงสุดในรอบ 3 เดือน บ่งชี้ว่าการผลิตจีนกลับมาโตอีกครั้ง แสดงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกำลังช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยดัชนี PCE ม.ค. 2568 ปรับขึ้น 2.5%YoY ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับขึ้น 2.6%YoY เป็นไปตามที่ตลาดคาด
• สศอ. เผย MPI ม.ค. 2568 ที่ 98.89 หดตัว 0.85%YoY แต่ขยายตัว 8.7%MoM เป็นสัญญาณเริ่มฟื้นตัว ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 60.38% มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ เช่น โครงการเงินหมื่น, โครงการคุณสู้เราช่วย และ Easy e-Receipt
• คลังรับข้อเสนอ ตลท. สนับสนุนโครงการ Jump+ หลังพบปัญหา ROE ตลาดลดลงเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน และเตรียมมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน, สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น จะเริ่มโครงการใน พ.ค. และจะคัดเลือก บจ. เข้าร่วมโครงการ 50 บริษัท
• ส.อ.ท. ไม่ทราบกระแสข่าวมาตรการรถเก่าและรถใหม่ว่ามาจากส่วนใด เนื่องจากพูดคุยประเด็นนี้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป หวั่นทำให้ชะลอการซื้อรถยนต์ แต่หนุนเร่งออกมาตรการให้ บยส. เป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะภายในเร็วขึ้นภายใน 2 เดือนนี้
• แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยคลังเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติแปลงกองทุน LTF เป็น ThaiESGX หวังพยุง SET ไม่ให้ร่วงหนัก เผยให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 5 แสนบาท/ปี หากแจ้งถือครองต่อไปอีก 5 ปี
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET จะฟื้นตัวจำกัด กังวลปัจจัยในประเทศและสงครามการค้า กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกำไร 1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
2. หุ้น Undervalued เป็นหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรสามารถเติบโตได้ 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (มี PBV < 1 เท่า) 3) Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD) 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และ 5) SETESG Rating ระดับ A-AAA แนะ-นำ CPALL BDMS MTC MINT BTG
3. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป และมี SETESG Rating ระดับ A-AAA 2) คาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักปันผลระหว่างกาลแล้ว ยังให้ Div. Yield เกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP KTB BBL PTT SPALI KBANK
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF), กลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI), กลุ่มธนาคาร (TISCO KKP),กลุ่มเช่าซื้อ(MTC TIDLOR) และกลุ่มไฟฟ้า (GULF GPSC) และ 2) หุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากงาน Opp. Day ซึ่งคาดโทนประชุมเป็นบวกในสัปดาห์หน้า CPALL BCP AMATA KLINIQ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ฟื้นตัวจำกัด จากความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำและฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในเชิง Valuation จะพบว่า ระดับ PER ของ SET ที่ 12-13 เท่า อาจจะดูเหมือนสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่มองว่าสัดส่วนภาคบริการของไทยมีมากกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวลงแต่จะได้รับแรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดเช่นเดียวกับธนาคารกลาง ECB ที่ตลาดคาดจะมีมติปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ 2.50% ส่วนเศรษฐกิจจีนยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการของรัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
CPALL: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น หลังบริษัทแจ้งไม่ประสงค์จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีก (Seven & i) คาดกำไร 1Q68 แข็งแกร่งต่อเนื่อง เติบโต YoY จาก SSS และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น อีกทั้งปัจจุบัน ซื้อขาย PER 68F ระดับ 17 เท่าและมี EPS Growth ที่ 16% (น่าสนใจเมื่อเทียบกับ PER 2568F ที่ 18 เท่า และ EPS growth ที่ 12% ของกลุ่มพาณิชย์)
AP: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากอานิสงส์ของการปรับลดดอกเบี้ยลง ปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายเชิงรุกทั้ง Presales และการเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งเรามองจะหนุนกำไรเติบโต 11.6%YoY แตะ 5.6 พันลบ. อีกทั้งยังมีจุดเด่นจ่ายปันผลสูง โดยมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 ที่ 0.60 บาท/หุ้น (XD วันที่ 7 พ.ค. 2568) คิดเป็น Div. Yield สูงถึงปีละ 6.7%