Market

ไทยประกันชีวิต 9 เดือนแรกปีนี้ กำไรกว่า  7.7 พันล้านบาท  โกยกำไรจากรับประกันภัยได้เพิ่มขึ้น 5.8%
15 พ.ย 2566

ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 66 มีมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่แข็งแกร่งอยู่ที่ 5,366 ล้านบาท อัตรากำไรของธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 62.4% เป็นผลจากการวางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โชว์กำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปีสูงถึง 7,729 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการรับประกันภัยอยู่ที่ 5,718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น5.8%

 

นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ว่า บริษัทฯ มีมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 5,366 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) เพิ่มขึ้น 9 จุด โดยมีอัตราถึง 62.4%  ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ

 

ด้านเบี้ยประกันภัยรับ บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (Annual Premium Equivalent : APE) จำนวน 8,599 ล้านบาท และมีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงถึง63,589 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตของกำไรจากการรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น 5.8% อยู่ที่ 5,718 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 สูงถึง 7,729 ล้านบาท

 

มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่เติบโตทุกช่องทางการขาย โดยช่องทางตัวแทนฯ สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการขาย และมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลกำไรอย่างยั่งยืนสะท้อนให้เห็นได้จากอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ที่สูงขึ้นจนถึงระดับ 63% สำหรับช่องทางพันธมิตร แม้ว่าจะมี APE ลดลง แต่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ยังคงเติบโต ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ร่วมมือกับพันธมิตรธนาคาร ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลกำไรสูงขึ้นร่วมกับการเสนอขายผลิตภัณฑ์อื่น

 

โดยผลการดำเนินการเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ2,088 ล้านบาท  ส่งผลให้มีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 7,729 ล้านบาท โดยในช่วง9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตถึง 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดีอัตรากำไรสุทธิโดยรวมที่ลดลงเป็นผลจากกำไรจากการลงทุนที่ลดลง สืบเนื่องจากการขายเงินลงทุนและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรม ซึ่งเป็นไปตามผลตอบแทนของตลาดและมุมมองในการเคลื่อนไหวของตลาดทุนในปี 2565

 

ด้านของการลงทุนนั้น บริษัทฯ ได้มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 สินทรัพย์ลงทุนมากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมดอยู่ในรูปแบบหนี้สินที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับกลุ่มน่าลงทุน

 

สำหรับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ของบริษัทฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ 372.5% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่ง อันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

นายไชยกล่าวว่า ไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้าองค์กรที่กำกับดูแล และสังคม โดยนำหลักการ ESG ผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจในทุกมิติ ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติทางเศรษฐกิจ (Economic) มิติทางสังคม (Social) และมิติธรรมมาภิบาล (Governance) ส่งผลให้บริษัทได้รับรางวัลInsurance Asia Awards 2023 สาขา Sustainable Insurance Initiative of the Year – Thailand จากวิสัยทัศน์การดำเนินงานด้านความยั่งยืนพร้อมทั้งยังเป็นธุรกิจที่แบ่งปันประโยชน์กลับคืนสู่สังคม นอกจากนี้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไทยประกันชีวิตยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการ (CGR) ประจำปี 2566 ระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com