บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 นี้ ชะลอตัวลงมีนัยสำคัญจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เศรษฐกิจพร้อมใจชะลอตัว 2.ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น โดยคาดดอกเบี้ยนโยบายเฟดจะคงที่ระดับปัจจุบันที่ 5.4% จนถึงสิ้นปีนี้ และ 3.ความแตกต่างระหว่างสหรัฐที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้สวนทางประเทศอื่น โดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ มองเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 67 มาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปั๊มเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1% จากประมาณการณ์เดิม คาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้ง ส่วนเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2566 ไว้ที่ 1650 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ชี้เป้าหุ้นเด่นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ได้แก่ AOT BCH CRC KCE และ KTB พร้อมแนะกระจายการลงทุนไปยังประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ชู เวียดนามและอินโดนีเซีย ที่มีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเติบโตได้มาก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเผชิญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เศรษฐกิจที่จะชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized slowdown) โดยที่ผ่านมาภาคการผลิตทั่วโลก (โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว) ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Manufacturing PMI) หดตัวมาโดยตลอด ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ประกอบกับความต้องการสินค้าต่างๆ เริ่มหมดลงทำให้ภาคการผลิตมีปัญหา และในปัจจุบันภาคบริการเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากดอกเบี้ยสูง 2.ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for longer) ในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วลดลงมาพอสมควรจากเงินเฟ้อภาคการผลิตเป็นหลัก อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปเงินเฟ้อจะลดลงยากมากขึ้น เนื่องจากเป็นเงินเฟ้อในส่วนภาคบริการ นอกจากนั้นราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ก็มีส่วนทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปกดลงได้ยากเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ธนาคารกลางต่างๆ ก็จำเป็นต้องคงดอกเบี้ยยาวนานขึ้นซึ่งจะยิ่งกดดันเศรษฐกิจ
และ 3.ความแตกต่างระหว่างสหรัฐที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นโดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ (US and The Rest) โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่งจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ทำให้การจับจ่ายยังเติบโตดี แต่ในระยะต่อไปการเงินที่มีปัญหามากขึ้นจะกระทบต่อการใช้จ่ายของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ ด้านเศรษฐกิจของยุโรปจะยิ่งเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนก็มีความเสี่ยงจะซึมยาวและเข้าสู่ "ทศวรรษที่หายไป" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อช่วงทศวรรษ 1990 แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีน ตั้งเป้าหมานในปีนี้เศรษฐกิจจีน จะยังขยายตัวได้ 5% ขณะที่ตลาดคาดโตประมาณ 4% กว่า และยังมีความเสี่ยงปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอ ส่วนปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาฯ ขณะนี้กำลังแก้ไขอยู่และคาดว่าจะต้องใช้เวลาพอสมควร
"ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมาก แต่อนาคตมีความหวังจากความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐ โดยเราประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี2567 จะขยายตัวได้ดีกว่าปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเพื่อไทยจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้อีก 1% โดยเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 4.1% (เทียบกับประมาณการเดิมที่ 3%) จากปี 2566 ที่ขยายตัว 2.7% ส่วนค่าเงินบาท คาดว่าสิ้นปีนี้ ปิดอยู่ที่ 35 บาท/ดอลลาร์ และ สิ้นปีหน้า ปิดที่ 36 บาท/ดอลลาร์"
พร้อมกันนี้ยังคาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้ง หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมา เงินไหลออกมากถึง 8.5 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ไหลกลับไปสหรัฐและลงทุนในตราสารหนี้ โดยปัจจัยที่จะหนุนให้เงินไหลเข้า พิจารณาจาก 1.แนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน 2.การเสร็จสิ้นการปรับลดอันดับเครดิต ผลประกอบการและ GDP 3.นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับความตึงตัวของ Fed และ 4.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว
โดยความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการที่ยากจะมองข้าม ได้แก่ ประการแรก ด้วยระดับน้ำที่ต่ำและฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลสำคัญ การเกิดเอลนีโญระดับรุนแรงจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของเกษตรกรแต่จะถูกผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยในไตรมาสที่ 1 ประการที่สอง ในกรณีที่รัฐบาลเลือกที่จะกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจส่งผลต่อความเข้มแข็งทางการคลัง
"เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่สะดุดช่วงไตรมาส 2/66 GDP โตต่ำ 1.8% ต่ำกว่าที่คาดกันไว้ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ครึ่งปีหลังก็คาดเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกเช่นกัน ในไตรมาส 3 และ 4 นี้ จะเห็นผลประกอบการฟื้นตัวโตยผลประกอบการของบจ. รวม ในครึ่งปีหลังจะเติบโต 11% จากครึ่งปีแรก (HoH). และเติบโต 62% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่วนกลุ่มที่ผลประกอบการจะเติบโตโดเด่น ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ เราประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ อยู่ที่ 1,650 จุด เป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุดขณะที่ในไตรมาส 4 จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,550 จุด ส่วนจุดต่ำสุด 1.450 จุดโดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 5-7%"
นายสุกิจ กล่าวเสริมว่า กลยุทธ์การลงทุน แนะนำโฟกัสไปที่หุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นหุ้นวัฏจักรที่มีความสัมพันธ์กับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงซึ่งจะได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำไร โดยกลุ่มหุ้นมี่ให้น้ำหนัก "ลงทุนเพิ่ม" (Overweight) ได้แก่ กลุ่มขนส่งทางอากาศ (ท่าอากาศยาน) กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มการแพทย์ ส่วนหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ได้แก่ AOT: Traffic เติบโตแข็งแกร่ง กำไรเติบโตแข็งแกร่ง BCH: กำไรฟื้นตัว การปรับเพิ่มอัตราการเหมาจ่ายของประกันสังคม Valuation สมเหตุสมผล CRC: กำไรฟื้นตัว ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ KCE: แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง อุปสงค์ฟื้นตัว การเติมสินค้า คงคลังของจีน กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและ KTB: กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ด้าน นายพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทมีกองทุนส่วนบุคคลที่เพิ่มโอกาสลงทุนให้แก่ลูกค้า โดยกองทุน Alpha เป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาลงทุนในกองทุนนี้มูลค่ารวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนถึง 55% -60%ของมูลค่ากองทุน Alpha หุ้นไทยสัดส่วน25% และอินโดนีเซีย 15% ขณะที่ผลตอบแทนของ 3 ตลาด ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน อยู่ +23% , ติดลบ 1-2% และ+15% ตามลำดับ
“สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน เงินเฟ้อระลอกใหม่ รวมถึงดอกเบี้ยโดยรวมของโลกยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนจึงยังเป็นลักษณะการลงทุนแบบระมัดระวัง มุ่งเน้นคัดเลือกหุ้นของกิจการที่ดีเป็นรายตัว "
สำหรับประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วกว่าประเทศไทย เช่นประเทศเวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของจีดีพีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงถึง6-7% ต่อปีสูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่าตัว โดยคาดว่า_าคการบริโภคจะขยายตัวสูงมากใน 5-10 ปีข้างหน้า GDP โตเฉลี่ย 9%/ปี และ EPS Growth 9% ส่วน ROE 12.8%
และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 270 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ และถึงแม้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังคงเติบโตด้วยอัตรา 5% ต่อปี คาด GDP ในระยะข้างหน้า เติบโตเฉลี่ย 6.7% และ EPS Growth 13 % ส่วน ROE 11.6% ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับเม็ดเงินจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเม็ดเงินจากการลงทุนทางตรงในปีที่แล้วของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียนั้นสูงคิดเป็น 2 และ 4 เท่าเมื่อเทียบกับของประเทศไทยตามลำดับ อีกทั้งประชากรของทั้งสองประเทศยังเป็นวัยทำงานมากถึง 50-60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และกลุ่มคนวัยดังกล่าวกำลังย้ายจากภาคการเกษตรเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยในตัวเมืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รายได้ต่อหัวปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของประชากรคนชั้นกลาง ของทั้งสองประเทศ ได้แก่ กลุ่มสิ่งของอุปโภคและบริโภคต่างๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าจาก ผ่านร้านค้าทั่วไป (Traditional Trade) เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยของประชาชนทั่วไปซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต
“การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่กลัวกับข่าวสารต่างๆในระดับมหภาคที่เป็นแง่ลบ จนเกิดการขายหุ้นออกมาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในระยะยาว เช่น ความกลัวโรคระบาดโควิดในปี 2020 ความกลัวอัตราเงินเฟ้อที่สูงและการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2021-2022 และความกลัวภาพเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 ซึ่งส่วนตัวมองว่ากลับเป็นโอกาสลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมากกว่าหากเราสามารถเลือกลงทุนในหุ้นของกิจการได้ถูกตัวและเข้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัวตลาดหุ้น” นายพสุวุฒิ กล่าวเสริม