“บมจ.ริชสปอร์ต หรือ RSP” ประเมินแนวโน้มธุรกิจปี 67 ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง ปักหมุดรายได้โต 15-20% ล่าสุดเซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย GEOX จากอิตาลี เพียงผู้เดียวในไทย เปิดงบปี 66 บุ๊ครายได้ 1,451.4 ลบ.โต 14.4% กำไรสุทธิอยู่ที่ 94.7 ลบ.
นางสาวพาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ริช สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ RSP ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ภายใต้ตราสินค้าชั้นนำ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2567 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 15-20% โดยมุ่งเน้นการเติบโตจากการเพิ่มยอดขายจากสาขาเดิม และการขยายสาขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแบรนด์ใหม่ๆที่บริษัทฯได้รับสิทธิในการจัดจำหน่าย รวมถึงการเพิ่มรายได้จากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยในปี 2567 เชื่อว่าธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี หลังตลาดส่งสัญญาณฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเติบโตของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวอันเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทฯมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสาขาหลักที่อยู่ใจกลางเมืองและจังหวัดที่นักท่องเที่ยวชอบเดินทางไป เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น
โดยกลุ่มลูกค้ายังคงให้ความสนใจในสินค้าที่บริษัทฯจัดจำหน่าย ปัจจุบัน RSP มีแบรนด์ภายใต้การจัดจำหน่าย ได้แก่ Converse, Havaianas, Barrel, Cole Haan, Acme De La Vie, O&B, ECCO และ GEOX ในประเทศไทยและกัมพูชา รวมสาขากว่า 216 แห่ง
ล่าสุดบริษัทฯได้ลงนามสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายกับ GEOX จากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นผู้ผลิต และแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าภายใต้ตราสินค้า "GEOX" โดยสัญญาดังกล่าวให้สิทธิแก่บริษัท ในการจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้า "GEOX" แต่เพียงผู้เดียวในราชอาณาจักรไทยและกัมพูชา
สำหรับผลประกอบการในงวดปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 1,451.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 1,268.2 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 94.7 ล้านบาท ลดลง 16.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 113.8 ล้านบาท
“ในปี 2566 ประเทศต่างๆทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จากสงครามรัสเซียและยูเครน ในขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1.9 ซึ่งขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งเกิดจากหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น ภาคการส่งออกขยายตัวติดลบ ภาคการท่องเที่ยวตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายจ่ายการลงทุนภาครัฐลดลง การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ทำให้การลงทุนภาคเอกชนมีความไม่ชัดเจน และหนี้ภาครัวเรือนสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค” นางสาวพาพิชญ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯด้วยดีเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ สำหรับผลประกอบการประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.13 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 96.59 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 30 เมษายน 2567และจ่ายเงินปันผลวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยบริษัทฯ จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 18 เมษายน 2567 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว